Money Management
ผมเชื่อว่า 90% ของเทรดเดอร์ทุกคนล้วนต้องประสบปัญหาเกี่ยวกับการจัดการด้านการบริหารความเสี่ยง บริหารเงินลงทุน บริหารอารมณ์ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นในตลาดลงทุนทุกแห่ง ตลาด Forex ก็เช่นกันครับ เสน่ห์ของมันคือ “ความเร็ว” แต่เร็วในที่นี้มันก็มาพร้อมความเสี่ยง ได้เร็วเสียเร็ว มีใครชอบไหมละครับ ใช่ครับ ไม่มีหรอก ไม่มีใครอยากขาดทุน ทุกคนชอบเงิน ประโยคหนึ่ง แม่ผมเคยสอนไว้ว่า “ถ้าเรารักเงิน เงินก็จะอยู่กับเรา” การเทรดก็เหมือนการออมครับ มันเหมือนการที่เราต้องอดออมเงินเพื่อจะใช้ในอนาคต หรือ เพื่อทำอะไรสักอย่าง การเทรดที่ดีหมายถึงการเติบโตขึ้นแบบขั้นบันได สม่ำเสมอ ไม่ใช่ก้าวกระโดน ตัวอย่างมี 100 วันนี้ พรุ่งนี้ 1000 วันมะรืน 5000 มันดูไม่สมเหตุสมผลเสียเลย มันต้องแบบ วันนี้ 5 พรุ่งนี้ 10 มะรืน 15 ค่อยๆไปเป็นอนุกรม โดยที่ความเสี่ยงในการลงทุนเท่าเดิม ในตลาด Forex อย่างที่รู้ๆกัน เสน่ห์ของมันคือความรวดเร็วในการที่จะได้กำไรหรือขาดทุน มัน Real times 24 ชั่วโมง แล้ว Forex ในแบบของผมเนี่ย มันมีอยู่ 2 รูปแบบ นั่นคือ การลงทุน กับการเกร็งกำไร 2 รูปแบบนี้สำหรับผม ผมคิดต่างกันนะครับ
- การลงทุน หมายถึง การเทรดเพื่อทำให้พอร์ตเติบโตขึ้น โดยได้กำไรสม่ำเสมอ เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ควบคุมความเสี่ยงให้เสี่ยงน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้
- การเกร็งกำไร หมายถึง การเทรดเพื่อให้ได้กำไรมากที่สุดหรือสูงสุด พร้อมรับความเสี่ยงได้มาก เรียกว่า พร้อมเสียเงินก้อนนั้นไป
“หากใครคิดว่าคิดว่าตัวเองเป็นนักลงทุน แต่ยังไม่รู้จักการบริหารความเสี่ยง มันก็ไม่ต่างอะไรกับการพนันครับ การลงทุนทำอะไรก็ช่าง ทุกคนล้วนหวังผลกำไร ไม่เช่นนั้นจะทำ ทำไม เพื่ออะไร ใช่ไหมหละครับ มือใหม่หรือมือเก่าหลายคนล้วนเจอประสบการณ์ที่หน้าทึ่งในตลาด บางคนอาจเจอเทคนิควิธีทำกำไรแบบต่อเนื่อง บางคนได้วิธีทำกำไรรวดเร็ว ฉับพลัน แต่สุดท้าย ก็ต้องนับหนึ่งใหม่”
เทคนิคคอลเก่งแค่ไหน ก็ไม่กำไร ถ้าไม่มีการบริหารเงิน
หัวข้อนี้เป็นหัวข้อแทงใจดำหลายๆคน ไม่ว่ามือใหม่ หรือ มือเก่า ผมเองก็เป็นครับ ผมจะพูดจากประสบการณ์ในตลาด 7-8 ปีที่ผ่านมา เพราะ ว่าอะไร หลายคนเป็นคนไม่ชอบอ่านศึกษา หรือ อ่านหนังสือ กลายเป็นหนอนหนังสือ ซะอย่างงั้นไป เพราะว่า Forex มันทำให้เห็นจริง ว่าเงินมันอยู่ตรงหน้า อยู่ที่ว่าเราสามารถหยิบจับมันไปได้หรือเปล่า แล้วก็พากันคิดวาดฝันว่าตัวเองต้องทำได้ อย่างโน้น อย่างนี้ นั่นแหละครับ คุณกำลังหลงกลมันอยู่ ถ้าเปรียบเทียบก็ประมาณว่า จีบสาว เป็นแฟนใหม่ๆแหละครับ
เพราะฉะนั้นเวลาคุณเทรดได้คุณอย่าเหลิง การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ความจริงมันก็ง่ายๆคือ การที่คุณสามารถทำกำไรได้ในแต่ละรอบ หากสมมุติคุณมีเงินลงทุนที่ 100$ แล้วคุณสามารถทำกำไรได้ 100% นั่นคือ Balance ของคุณจะมีเท่ากับ 200$ คุณมีทางเลือกมากมายเช่น
- ถอนทุนออก 100$ เพื่อเทรดอย่างไร้ความเสี่ยง
- ถอนทุนออก 50% เหลือ ไว้ 150$
- ถอนออก 100$ เพื่อเป็นทุนเวลาพลาด
เห็นไหมละครับ การจัดการความเสี่ยงมีมากมาย อยู่ที่คุณจะเลือกสรร ถ้าจะให้สอนกันผมคิดว่ามันต้องปรับวิธีคิดให้ดี เพราะว่า เงินของทุกคน ความจำเป็นมันไม่เท่ากัน ตัวอย่าง นาย A ลูกคนมีเงิน เทรดกำไรได้ 1000$ ในสัปดาห์นี้ กับ นาย B ลูกจ้างประจำ เทรดกำไรได้ 1000$ ภายใน 1 เดือน คุณลองมองสิครับว่า ใครที่มีความจำเป็นมากกว่ากัน ลองคิดดูนะครับ
“ถึงแม้จะอ่านกราฟหรือวิเคราะห์ทิศทางราคาได้เก่งขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าไม่รู้จักบริหารเงินลงทุน (Money Management) ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จในการเทรด”
คนส่วนใหญ่ไม่เคยสนใจ Money Management
จากประสบการณ์ที่ผมได้ให้คำแนะนำกับนักลงทุนหรือนักเทรดหน้าใหม่จำนวนมาก พบว่านักลงทุนจะให้ความสนใจเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคมากกว่าการวิเคราะห์ทางปัจจัยพื้นฐาน และมักจะให้ความสำคัญกับการอ่านกราฟราคา กราฟ Volume หรือวิเคราะห์ Indicators เพื่อให้ได้คำตอบเพียงว่า
- จะลงมือเทรดหุ้นตัวไหนดี หรือมีตัวไหนบ้างที่น่าสนใจเทรด
- หุ้นตัวที่กำลังสนใจอยู่ราคาน่าจะปรับตัวขึ้นหรือลงในอนาคต
- ปัจจุบันเป็นจังหวะที่น่าสนใจหรือเปล่า
- ถ้าตอนนี้เป็นจังหวะที่น่าสนใจ สามารถลงมือเทรดได้เลยหรือไม่
ซึ่งจะเห็นได้ว่าคำตอบเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารเงินลงทุนที่เป็นปัจจัยสำคัญของการประสบความสำเร็จในการลงทุนเลย แต่จะเป็นคำถามที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อหาสัญญาณในการลงมือ เทรดมากกว่า เพราะฉะนั้นแล้วอยากให้เทรดเดอร์ทุกท่านได้สนใจในการคุมเงินของตัวเอง อย่างน้อยก็รักษาทุน แล้วรอเล่นใหม่ เริ่มใหม่ หากมันผิดพลาด อย่ามัวแต่จะสรรหาวิธีเทรด หรือ ระบบเทรดที่สุดยอด
Money management นั้นสามารถทำกำไร ได้ในระยะยาว ถ้าไม่ใช้กฎของ Money management จะเกิดอะไรขึ้นเรามาดูตัวอย่าง
สมมุติว่าคุณ มีเงินอยู่ $10000 และคุณเสียไป $5000 คุณเสียไปทั้งหมดกี่เปอร์เซนต์ คำตอบคือ 50 เปอร์เซนต์ แล้วคุณต้องทำกี่เปอร์เซ็นต์ เงิน $5000 ของคุณ ถึงจะกลับไปเท่าเดิมคือ $10000 คุณต้องทำถึง 100 เปอร์เซนต์ ไม่ใช่ 50 เปอร์เซนต์ เค้าเรียกว่า Drawdown จะเห็นว่ามันน่าหงุดหงิดมาก เพราะมันง่ายมากในการเสียไป แต่ได้กลับคืนมาเท่าเดิมนั้น ยากกว่า ซึ่งผู้อ่านคงไม่คิดที่จะเสีย เทรดเดียว 50 เปอร์เซนต์
อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเทรดเสีย 3, 4 หรือ 10 เทรดติดกันล่ะ มันดูเหมือนจะเกิดได้ยากถ้าคุณคิดว่าคุณมี Trading system ที่มีเปอร์เซนต์ชนะ 70 เปอร์เซนต์ ดังนั้นคุณไม่มีทางเสีย ติดต่อกันได้ถึง 10 ครั้ง ถ้าคุณคิดว่าคุณมี Trading system ที่ดี ในการเทรด Trade system ที่ทำ Profitable ได้ 70 เปอร์เซนต์ ดูเหมือนเป็น system ที่ดีมาก แต่มันไม่ได้หมายความว่า ใน100 เทรดคุณจะชนะ 70เทรด คุณจะรู้ได้อย่างไร ว่า 70 ใน 100 เทรดจะชนะ คุณไม่มีทางรู้ได้ คุณ อาจจะเสีย 30 เทรดแรก แล้วไปชนะ 70 เทรดที่เหลือ ซึ่งยังให้ผลที่ 70 เปอร์เซนต์ แต่คุณก็คงเสียหายหนัก
จากตัวอย่างจะทำให้รู้ว่า Money management นั้นสำคัญ ไม่ว่าคุณจะมี Trading System ดีสักเท่าไร แต่ก็ต้องมีที่คุณเสีย เหมือนผู้เล่น Poker มืออาชีพ ถึงเค้าจะเล่นเสียครั้งใหญ่ แต่สุดท้ายเค้าก็จะจบด้วยกำไร
การเกร็งกำไร
ผมจะพูดถึงข้อดีของตลาด Forex นั่นคือใช้เงินลงทุนต่ำ ผู้คนทุก ระดับสามารถเข้าถึงได้ ทุกคนมีสิทธิ์รวย ทุกคนมีสิทธิ์ฝัน ครับ บางคนเข้ามาในตลาดไม่ถึง 3 เดือน เสียเงินไปหลายล้าน บางคนใช้เงินเก็บค่อนชีวิตหายไปกับตลาดภายในไม่กี่เดือน บางคนเป็นเพียงลูกจ้างประจำ หรือ มนุษย์เงินเดือน ก็เอาเงินเดือนมา เพื่อ อยากได้เงินที่เพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้มันคือ ความต้องการที่ต่างกันจุดประสงค์ของการที่จะเอาเงินไปทำโน้นนี่นั่น แต่สิ่งที่เหมือนกัน ทุกคนล้วนต่างอยากได้เงินจากตลาดนี้
การเกร็งกำไร ควร ปรับทัศนคติกับเงินที่ใช้เทรด ดังนี้
- เป็นเงินเย็น คือ เงินที่เรายอมเสียได้
- เราหรือใครต้องไม่เดือดร้อนหรือมีผลกระทบกับเงินก้อนนั้น
- ใช้เงินให้น้อยที่สุดให้เหมาะสมกับความต้องการที่อยากได้กำไร
ตัวอย่าง มี 100 บาท จะเอา 1000 บาท ถามว่าได้ไหม แต่ต้องมีวิธีการที่ ประณีต และ ฟลุ๊ค ครับ เพราะเอาจริงๆ น้อยคนที่จะโชคดีตลอด
ตัวอย่างใน Social ในปัจจุบันมีให้เห็นเยอะครับ 30$–>1500$ 100$–>3000$ ส่วนตัวผมก็เคยทำได้ครับ 5$->1000$ แต่ก็ใช้เวลานาน สุดท้ายก็ล้างพอร์ต ซึ่งเกิดจาก ความเหลิง หลง การแก้ไขอาการแบบนี้สำหรับผมมีทางเดียวครับ ถอน แล้วเอาเงินไปใช้ให้ไวที่สุด
เทรดด้วยความเสี่ยงที่ถูกต้อง
หัวข้อนี้ผมจะยกตัวอย่าง คำพูดยอดฮิตของกูรูหลายๆท่าน หรือ ผู้รู้ต่างๆ ก็คือคำว่า R:R อาร์ : อาร์ มันย่อมาจากคำว่า Risk : Reward Ratio ความหมายของมันก็คือ ความเสี่ยง ต่อ ผลกำไร ตัวอย่างเช่นนะครับ
จากรูปภาพ
- ผมมีเงิน 100$ แล้วเข้าออเดอร์
- เป้าหมายราคา หากไปถึง ผมจะได้กำไรเพิ่มขึ้น 60$ (Reward) เงินรวมผมจะเป็น 160$
- ถ้าราคาผิดทาง ผมรับความเสี่ยงได้ที่ -20$ (Risk) เงินของผมจะเหลือทั้งหมด 80$
เพราะฉะนั้นแล้ว ผมจะได้ สมการคือ Reward(60) / Risk(20) = 3
3 นี่ก็คือ 3 เท่าของความเสี่ยง เพราะฉะนั้น R:R นี้ก็คือ 1:3
ตัวอย่างการบริหารเงินทุนแบบง่ายๆ
ในโปรแกรม Metatrader 4 ให้เอา Balance หารด้วย 10000 นะครับ จะเป็นการบริหารพอร์ตที่ 10 % พอหารเสร็จจะได้ Lot ที่เราต้องเทรด สมมุติว่า Balance มี 1,000$ จำนวน Lot ที่ต้องเทรด เท่ากับ
1,000/10,000= 0.1 Lot
ลองบริหารแบบนี้ไปเรื่อย ๆ นะครับ ทุนเราเพิ่ม เราก็ค่อยเพิ่ม Lot Size
ตัวอย่างที่1 เทรด 50 pips ต่อวัน ลองทำดูนะครับ มันอาจจะดูเหมือนโม้ไปซะหน่อย แต่ถ้าทำได้ก็รวยครับ เพราะมันขึ้นกับ วินัยล้วนๆ
ตัวอย่างนี้บริหารความเสี่ยงที่ 20% ของทุน เทรดเป็นเวลา 3 เดือน
ตัวอย่างนี้บริหารความเสี่ยงที่ 10% ของทุน เทรดเป็นเวลา 3 เดือน
ตัวอย่างที่ 2 แผนนี้ง่ายหน่อยนะครับ เอาแค่ 30 pips ต่อวัน ทุกๆคนน่าจะทำได้นะครับ ได้แล้วหยุดเทรดเลย รอเทรดพรุ่งนี้ หรือถ้าจังหวะดีก็ ทำของวันพรุ่งนี้ หรือ ปล่อยยาว เก็บเงินเพิ่มไปครับ หรือ อาจจะวันเดียวได้ 150 Pips ก็ได้ครับ
ตัวอย่างนี้บริหารความเสี่ยงที่ 20% ของทุน เทรดเป็นเวลา 3 เดือน
ตัวอย่างนี้บริหารความเสี่ยงที่ 10% ของทุน เทรดเป็นเวลา 3 เดือน
“ Money Management
ถามว่าเรื่องนี้สำคัญไหม สำคัญมาก แต่ส่วนตัวแล้ว ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ เพราะว่า เวลาเรากำไร เราจะรู้ว่า ไปถึงตรงไหนๆ เรากำไรเท่าไหร่ ตรงข้ามเรารู้อยู่แล้วว่าผิดทางแล้ว ไปถึงไหนเราขาดทุนเท่าไหร่ พูดอีกอย่างเลยก็เหมือนสอนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแหละครับ เรื่องนี้ อยู่ที่ตัวเองล้วนๆ ต้องมีวินัย ที่พิมพ์บทนี้เผื่อ เตือนใจ อย่างน้อยๆ ก็ให้สะกิด ให้คิด สักหน่อยก็ยังดี แต่สำหรับบ้างคนก็หวังว่าจะช่วยเสริมมุมมองให้กว้างขึ้น อย่างตัวอย่างการบริหารเงิน 3 เดือน หากมีความอดทนจริงๆละก็ รวยได้สบายครับ
”